วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อ่านดูก็รู้เอง

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน บทความนี้ก็เป็นบทความที่สองของผมแล้วนะครับ สำหรับบทความนี้จะว่าด้วยเรื่องของการเรียนรู้ในแบบฉบับของผมครับ



เมื่อเอ่ยคำว่า "การเรียนรู้" สิ่งแรกที่เกิดขึ้นในความคิดของใครหลายๆคนก็คงจะไม่พ้นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่อัดแน่นไปด้วยโต๊ะที่เรียงรายเป็นแถว แล้วรายล้อมด้วยเพื่อนนักเรียน และครูที่ยืนสอนอยู่หน้าห้อง แต่สำหรับผมแล้ว เมื่อคำว่าการเรียนรู้มาสะกิดหู ผมก็จะนึกถึงโลกกว้างที่มีอะไรให้ศึกษาค้นคว้าอย่างไม่รู้จบ เมื่อภาพนี้ผุดขึ้นมาในหัวเมื่อไหร่ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะทุกที ด้วยความที่ตื่นเต้น และอยากรู้อยากเห็น ผมชอบที่จะเรียนรู้เรื่องต่างๆจากการอ่านมากกว่าการนั่งเรียนในห้องเรียน หรือการเรียนรู้อะไรก็ตามที่จัดเนื้อหาและเวลามาให้แล้ว เช่น การศึกษาดูงาน ทัศนศึกษา แม้แต่การเรียนในห้องเรียน เพราะการเรียนรู้แบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนบังคับมาเรียน และผมก็มีการเรียนรู้ที่เป็นแบบฉบับของตนเอง นั่นก็คือ การอ่าน ผมรักการอ่านมากไม่ว่าจะเป็นการอ่านจากหนังสือ หรือการอ่านบทความจากเว็บไซต์ต่างๆ แต่ส่วนใหญ่จะอ่านบทความจากวิกิพีเดียมากกว่าหนังสือ เพราะมีเนื้อหาสาระที่หลากหลายและน่าสนใจกว่า และเป็นการประหยัดงบอีกด้วย


ทำไมต้องวิกิพีเดีย?
สำหรับผมแล้ว วิกิพีเดีย คือสุดยอดแหล่งความรู้ที่เข้าถึงได้ง่าย และสะดวกที่สุด สามารถเปิดอ่านได้ทุกที่ทุกเวลาถ้ามีอินเตอร์เน็ต วิกิพีเดีย ได้รวบรวมความรู้ไว้หลายๆเรื่อง ถึงแม้ว่าบางคนคิดว่าวิกิพีเดีย เป็นเว็บที่เชื่อถือได้น้อย เพราะใครๆก็สามารถแก้ไขได้ เนื้อหาจึงค่อนข้างที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งผมก็คิดแบบนั้น แต่ผมไม่ได้อ่านจากวิกิพีเดียเพียงอย่างเดียว ถ้าผมอ่านเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วเกิดความสนใจ ผมก็จะค้นคว้าเรื่องนั้นต่อจากกูเกิ้ลเพื่อไปยังเว็บต่างๆที่มีให้ค้นคว้าอีกมากมาย แต่ที่ชอบวิกิพีเดีย เพราะมีจุดเด่นอยู่ตรงที่ว่า วิกิพีเดียได้สรุปเนื้อหามาให้อ่านโดยสังเขป เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าต่อไปโดยบทความที่อ่านจากวิกิพีเดียจะเป็นภาษาอังกฤษ เพราะมีเนื้อหาที่ครบถ้วนและน่าเชื่อถือกว่าบทความที่เป็นภาษาไทย แล้วยังเป็นการฝึกทักษะภาษาอังกฤษไปด้วย


แล้วเรื่องของเวลาล่ะ?
เรื่องของเวลา? ผมเรียนรู้ได้ดีที่สุดก็ในเวลาที่มีสมาธินั่นแหละ มันไม่ได้ตายตัวหรอกนะ แต่ส่วนใหญ่เวลาที่ผมมีสมาธิที่สุดก็ตอนที่ผมอยู่คนเดียว เงียบๆ ความคิดต่างๆก็จะวิ่งเข้ามา หรือถ้าอ่านหนังสือก็จะเข้าใจได้ง่าย แล้วผมก็เป็นคนที่มีความจำดีมาก ยิ่งเป็นเรื่องที่ผมให้ความสนใจก็ยิ่งจำได้ดีขึ้น แต่ผมจำได้เฉพาะเรื่องที่ได้อ่านเท่านั้น สำหรับเรื่องที่ได้ยินได้ฟังจะจำไม่ค่อยได้ แม้แต่การบ้านที่ครูสั่ง ถ้าไม่ได้จดไว้ผมก็จำไม่ได้ ผมต้องได้อ่านเท่านั้นจึงจะจำได้


เป็นไงบ้างครับ เรื่องราวการเรียนรู้แบบอินดี้ของผม อาจจะไม่เหมือนใคร แต่ก็ไม่หวงสูตรนะครับ จดจำและนำไปใช้ได้ "เรียนรู้ในสิ่งที่อยากรู้ ในเวลาที่พร้อมที่จะเรียนรู้" นี่แหละครับ การเรียนรู้ของผม

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

The journey - เพราะชีวิตคือการเดินทาง

"เพราะชีวิต คือการเดินทาง และสิ่งรอบข้างคือการศึกษา"
เพราะชีวิต คือการเดินทาง และสิ่งรอบข้างคือการศึกษา เป็นคติประจำใจที่ผมนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต
สวัสดีครับ ผมชื่อนายศุภวิชญ์ ฤทธิ์มาก เกิดเมื่อวันที่29 เมษายน พ.ศ. 2536 เป็นคนจังหวัดตรัง และเป็นคนใต้ขนานแท้ทั้ง รูปร่างหน้าตา และผิวพรรณ เป็นสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวผมได้อย่างชัดเจนว่า "เป็นคนใต้" ผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย สบายๆ สนุกสนาน เฮฮา ร่าเริง ความสุขของผมคือการได้เห็นคนรอบข้างมีความสุข ผมก็เลยชอบที่จะทำอะไรหลายๆอย่างให้คนรอบข้างมีความสุข ชีวิตในวัยเด็กของผมนั้นไม่ค่อยมีอะไรมากมาย ไม่ใช่เพราะใช้ชีวิตที่ซุกซนเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่เพราะผมจำชีวิตในวัยเด็กได้น้อยมาก แต่สิ่งที่จำได้ก็คือโดนครูตีทุกวันตอนอนุบาลหนึ่งเพราะไม่ยอมเขียนหนังสือมือขวานั่นเอง เมื่อเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาผมเป็นเด็กที่ซนตามวัย และในช่วงวัยนี้เองที่นิสัย เดินไม่เป็น ได้เริ่มขึ้นมา เพราะไม่ว่าจะไปไหนผมก็จะวิ่ง หรือไม่ก็กระโดดไปเหมือนกับตัวละครในเกมมาริโอ้ ทำให้ผมเป็นเด็กที่มีร่างกายผอมเพรียวและคล่องตัว ผมไม่เคยเลิกนิสัยนั้นได้เลยจนถึงปัจจุบัน ทำให้ผมเป็นคนที่วิ่งเร็ว และกระโดดสูง ผมเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬามาก เล่นได้เกือบทุกชนิด แต่เล่นไม่เก่งสักอย่าง แค่พอเล่นได้เท่านั้น

งานแรกในชีวิต

หลังจากย้ายเข้ามาเรียนปี2ที่ มศว ประสานมิตร ทำให้มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น และต้องการหาประสบการณ์และหารายได้เพิ่มเติมเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินของพ่อแม่ ก็เลยไปหางานทำ  ในที่สุดผมก็ได้ทำงานเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่ร้านแมคโดนัลด์ สาขาโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่นี่ได้ให้ประสบการณ์กับผมในหลายๆด้าน ทั้งการทำงานร่วมกับผู้อื่น การควบคุมอารมณ์ การทำตามกฏที่เคร่งครัด และทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ เพราะลูกค้ากว่าครึ่งของที่นี่เป็นชาวต่างชาติ ทำให้ผมได้ฝึกฝนทักษะทางด้านภาษาอังกฤษด้วย





อนาคตคือสิ่งที่ไม่แน่นอน
ในอนาคต หลังจากเรียนจบปริญญาแล้ว ผมได้ตั้งเป้าหมายของตัวเองเอาไว้ว่าจะเป็นครู ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝัน และเป็นความหวังของพ่อแม่ แต่มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่แน่นอน บางทีถ้าผมยังไม่ได้เป็นครู ก็อาจจะทำงานอื่นตามสายที่ได้เรียนมาเพื่อเก็บเงินทุนเอาไว้ไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วนำประสบการณ์ที่ได้ มาเขียนหนังสือท่องเที่ยว ถ้าทำได้ดีผมก็อาจจะหันมาเอาดีทางด้านการท่องเที่ยวและงานเขียนเลยก็ได้ แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่า "อนาคต คือสิ่งที่ไม่แน่นอน" เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมกล่าวมาในหัวข้อนี้ อาจจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ตอนนี้ผมอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความเป็นจริง ถ้าผมทำสิ่งต่างๆในปัจจุบันให้ดี อนาคตก็ไม่ไกลเกินเอื้อม

ได้อ่านประวัติโดยสังเขปของผมแล้วเป็นไงบ้างครับ ถ้ายังอยากรู้จักผมมากกว่านี้ก็ นี่เลย เป็นเพื่อนกับผมได้ทางเฟสบุ๊ค          คลิกเลย